ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบปัญหาในการบริหารทรัพยากรน้ำในหลายด้านเนื่องจากการดำเนินการมีหลายหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งต่างก็ดำเนินการเฉพาะส่วนของตนเอง ทำให้ขาดความเป็นเอกภาพ แม้รัฐบาลจะได้แต่งตั้ง “คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ” (กนช.) เพื่อทำหน้าที่บูรณาการและบริหารทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบในทุกมิติแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีกฎหมายในการบูรณาการเกี่ยวกับการจัดสรร การใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษาการฟื้นฟู การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และสิทธิในน้ำ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถบริหารทรัพยากรน้ำให้มีความประสานสอดคล้องกันในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน รวมทั้งวางหลักเกณฑ์ในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำสาธารณะ ตลอดจนจัดให้มีองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้งในระดับชาติ ระดับลุ่มน้ำ และระดับองค์กรผู้ใช้น้ำซึ่งสะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อร่วมกันบริหารทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงได้เกิด “พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561” หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “กฎหมายน้ำ” ขึ้น
เพื่อให้การดำเนินการเกิดผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงได้มีการตราและออกกฎหมายลำดับรอง (หรือกฎหมายลูก) ไม่ว่าจะเป็นพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศต่าง ๆ และต่อมาในปี พ.ศ. 2567 ได้มีการประกาศใช้กฎกระทรวงภายใต้กฎหมายน้ำ จำนวน 5 ฉบับ โดยเป็นกฎกระทรวงที่เสนอโดย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จำนวน 3 ฉบับ คือ กฎกระทรวงกำหนดลักษณะการใช้น้ำแต่ละประเภท พ.ศ. 2567 กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สอง และใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สาม พ.ศ. 2567 และกฎกระทรวงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าใช้น้ำ การเรียกเก็บ ลดหย่อน และยกเว้นค่าใช้น้ำ สำหรับการใช้น้ำประเภทที่สองและการใช้น้ำประเภทที่สาม พ.ศ. 2567 ส่วนอีก 2 ฉบับเสนอโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สามที่ไม่ใช่น้ำจากทางน้ำชลประทานและไม่ใช่น้ำบาดาล พ.ศ. 2567 และกฎกระทรวงการอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สาม พ.ศ. 2567
โดยการออกกฎหมายลำดับรองดังกล่าวเป็นไปตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 หมวด 4 การจัดสรรน้ำและการใช้น้ำ มีเจตนารมณ์มิใช่เป็นไปเพื่อการแสวงหารายได้ แต่เป็นการสร้างความตระหนักรู้ว่า “น้ำ” เป็นทรัพยากรที่มีค่า จึงต้องใช้สอยโดยประหยัดและมีการวางแผนการบริหารจัดการที่ดี
สำหรับสาระสำคัญของกฎกระทรวงทั้ง 5 ฉบับ ได้กำหนดลักษณะการใช้น้ำไว้ 3 ประเภทคือ การใช้น้ำประเภทที่หนึ่ง เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการดำรงชีพ การอุปโภคบริโภคในครัวเรือน การเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์ การอุตสาหกรรมในครัวเรือน การใช้น้ำประเภทที่สอง เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การผลิตพลัง งานไฟฟ้า การประปาและกิจการอื่น และการใช้น้ำประเภทที่สาม เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำปริมาณมาก หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ หรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ การใช้น้ำประเภทที่หนึ่ง ซึ่งเป็นการใช้น้ำของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตและไม่ต้องชำระค่าใช้น้ำ แต่ผู้ใช้น้ำจะต้องให้ข้อมูลแก่หน่วยงานรัฐเพื่อนำไปวิเคราะห์ความต้องการใช้น้ำในภาพรวม เพื่อการวางแผนบริหารจัดการน้ำด้านการจัดหา (อุปทาน) ให้สอดคล้องกับความต้องการ (อุปสงค์) ต่อไป ดังนั้น เกษตรกรที่ปลูกพืชต่างๆ หรือแม้กระทั่งการทำนาปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์ จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากกฎกระทรวงดังกล่าว ยกเว้นการใช้น้ำบาดาลตามกฎหมายว่าด้วยน้ำบาดาล ยังคงต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล และบางกิจการที่ใช้น้ำบาดาลอาจต้องชำระค่าใช้น้ำบาดาลด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะที่ผ่านมาก็มีการชำระค่าใช้น้ำบาดาลอยู่แล้ว
การใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สาม จะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตพร้อม “แผนบริหารจัดการน้ำ” ต่ออธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ หรืออธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล แล้วแต่กรณี ในทุกๆ 5 ปี ทั้งนี้ มีการยกเว้นค่าใช้น้ำในบางกิจการเช่นกัน เช่น การผลิตน้ำเพื่อให้บริการด้านอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนของหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เฉพาะกรณีที่มีกำลังการผลิตไม่เกิน 30 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อชั่วโมง การผลิตน้ำดื่มสำหรับบริโภคในโรงเรียน การใช้น้ำในโรงพยาบาล เป็นต้น ดังนั้นประปาหมู่บ้านที่ให้บริการประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัดหรือประปาภูเขาที่ให้บริการประชาชนในพื้นที่สูง ที่ผลิตน้ำประปาให้บริการโดยไม่ได้แสวงหากำไร ก็ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะได้รับยกเว้น ไม่ต้องจ่ายค่าใช้น้ำ
“กฎกระทรวงทั้ง 5 ฉบับ เป็นกฎหมายลูกภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือและกลไกในการบริหารจัดการน้ำ สร้างจิตสำนึกให้ผู้ใช้น้ำรู้ถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากรน้ำ ก่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการประหยัดน้ำ การใช้น้ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และคิดวางแผนการใช้น้ำอย่างครอบคลุมทั้งระบบ เพื่อความมั่นคงในการใช้น้ำอย่างยั่งยืน”